ฟุตบอลไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้ง ในโปรแกรมบอลศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ 2027 รอบคัดเลือก รอบสาม กลุ่ม ดี ที่กำลังจะพบกับทีมชาติไชนีส ไทเป ทั้งในวันที่ 9 และ 14 ตุลาคม 2568 การคัดเลือกตัวนักเตะเพื่อรับใช้ชาติในทัวร์นาเมนต์ครั้งนี้ จึงเป็นประเด็นร้อนแรงที่แฟนบอลให้ความสนใจอย่างมาก และหนึ่งในเสียงที่ถูกจับตามองคือ “ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน” ตำนานนักเตะทีมชาติไทย ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งในสภากรรมการ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดชีวิตค้าแข้ง การแสดงความเห็นของ “เดอะตุ๊ก” ไม่ใช่แค่การวิจารณ์ทั่วไป แต่มันคือเบื้องลึกของแนวคิดในการจัดการฟุตบอลระดับประเทศ ที่สะท้อนความจริงตามลมหายใจของคนในวงการฟุตบอลไทย
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เสนอแนวคิดการเลือกนักเตะเพื่อความสำเร็จทันที
ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนบอลที่อยากเห็นทีมชาติไทยกลับมาอยู่ในแถวหน้าของเอเชีย ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นต่อรายชื่อนักเตะที่ถูกเรียกมาติดทีมชาติไทยชุดนี้ โดยชี้ว่า การแข่งขันที่มีความหมายสูงเช่นนี้ ไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเวที “ทดลองทีม” เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของการเริ่มต้น แต่คือโจทย์ที่ต้องการ “ผลงาน” และ “ชัยชนะ” เป็นหัวใจสำคัญ
คำพูดหนึ่งที่ชัดเจนจากปิยะพงษ์ คือ
“ตอนนี้เราต้องการผลงานความสำเร็จแล้ว เราไม่ต้องการไปหาประสบการณ์หรือสร้างทีม”
นี่คือมุมมองที่มีน้ำหนัก โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการเรียกนักเตะที่ทำผลงานได้ดี “ณ ช่วงเวลานั้น” มากกว่าจะคำนึงถึงอายุหรือความสดใหม่ของผู้เล่น
การถกเถียงเรื่องชื่อที่หายไปของ “ธีราทร” และ “ธีรศิลป์”
แม้เหล่าแฟนบอลหลายคนต่างจับตารายชื่อชุด 50 คนของทีมชาติไทย จะมีการพูดถึงนักเตะระดับตำนานรุ่นปัจจุบันหลายราย เช่น ธีราทร บุญมาทัน และ ธีรศิลป์ แดงดา อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวล่าสุดยืนยันแล้วว่า ทั้งสองคนไม่มีชื่อติดในลิสต์ดังกล่าว
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ให้ความเห็นกับประเด็นนี้ว่า
“ธีราทร, ธีรศิลป์, จักรพันธ์ แก้วพรม… เราต้องเลือกนักเตะเก่งที่สุด ณ เวลานั้น อายุไม่เกี่ยว ผลงานสำคัญกว่า…”
ข้อคิดเห็นของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดแบบ “เปิดกว้าง” ที่เน้นความสามารถ มากกว่าการให้ความสำคัญกับอายุหรือแผนการระยะยาว โดยเฉพาะในการแข่งขันที่ต้องใช้ผลลัพธ์เป็นตัววัด
การวางหมากในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ไม่ใช่การทดลอง
หนึ่งในจุดยืนชัดเจนที่สุดที่ปิยะพงษ์กล่าว คือการแยกแยะระหว่าง “ฟีฟ่า เดย์” และ “การแข่งขันเมเจอร์” อย่างคัดเอเชียน คัพ หรือคัดฟุตบอลโลก โดยเขาระบุว่า การทดลองทีมควรจะทำในรายการสร้างทีมเช่น “คิงส์ คัพ” มากกว่า
“ฟีฟ่า เดย์ ไม่ใช่เวลาสร้างทีม ทัวร์นาเมนต์คัดเอเชียน คัพ เราต้องการความสำเร็จ ต้องเลือกนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดเข้ามา” ปิยะพงษ์ให้ความเห็นอย่างมั่นใจ
มันสะท้อนถึงมุมมองแบบ “มืออาชีพ” ว่าเกมใหญ่เท่านั้นคือเกมที่ต้องเอาคนที่พร้อมและดีที่สุดลงสนาม ไม่ใช่ทดลอง เพื่อวางรากฐานอนาคต แต่เพื่อ “คว้าคะแนน” ที่จะทำให้ทีมชาติไทยเข้าสู่รอบถัดไป หรือแม้แต่ฝันให้ไกลถึงการไปเอเชียน คัพ รอบสุดท้ายในซาอุดีอาระเบีย
ความท้าทายของการเลือกนักเตะในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ประเด็นของการคัดรายชื่อนักเตะทีมชาติไทยในครั้งนี้แสดงถึงภาพใหญ่ของปัญหาเดิมในทุกยุคสมัย คือการบาลานซ์ระหว่าง “นักเตะมีประสบการณ์” และ “ดาวรุ่งอนาคตไกล”
ดังนั้นสิ่งที่ปิยะพงษ์เสนอ ไม่ได้หมายความว่าเด็กดาวรุ่งไม่มีโอกาสเข้าทีมชาติ แต่ขอให้พิสูจน์ที่ “ฟอร์ม” และ “ผลงานจริง” มากกว่าการเลือกด้วยความคาดหวังแบบระยะยาว
คุณสมบัติของทีมชาติชุดหลักในมุมของปิยะพงษ์ ผิวอ่อน
– ต้องเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์หรือสภาพจิตใจพร้อมรับแรงกดดันจากเกมนานาชาติ
– ฟอร์มการเล่นต้องมีความสม่ำเสมอ และสามารถพิสูจน์ได้จากลีกในประเทศ
– ไม่จำเป็นว่าต้องอายุน้อยกว่าเท่านั้น หากยังฟิต มีชั้นเชิง และช่วยทีมได้ ก็สมควรมีที่ยืน
– การสร้างทีมอาจสำคัญในระยะยาว แต่เมื่อถึงเวทีจริง ความสำเร็จสำคัญมากกว่า
แนวโน้มและความคาดหวังจากแฟนบอลต่อทีมชาติชุดใหม่นี้
การไม่มีชื่อของธีราทรและธีรศิลป์ ก่อเกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับเงื่อนไขการคัดเลือก และแนวทางของทีมสตาฟฟ์ ซึ่งนี่อาจเป็นโอกาสสำหรับนักเตะรุ่นใหม่ที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่ก็แลกมาด้วยภาระความคาดหวังที่สูง
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน กลายเป็นเสียงสะท้อนที่มีเหตุผล ช่วยชี้เป้าทั้งไปข้างหน้าและกลับมาครุ่นคิดถึงความคุ้มค่าบนเป้าหมายแต่ละก้าว
บทสรุป: ตำนานที่ยังคงรักษาไฟในหัวใจแห่งทีมชาติไทย
ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ไม่เพียงแต่เป็นกองหน้าผู้เคยสร้างตำนานให้กับทีมชาติไทย และบอลไทย แต่เวลานี้เขากำลังนำประสบการณ์เหล่านั้นมาตีแผ่ให้ฟุตบอลไทยก้าวสู่มาตรฐานใหม่ จากบทบาทนักเตะ สู่บทบาทของผู้กำหนดทิศทาง เขากลายเป็นกระจกสะท้อนให้วงการได้ทบทวนว่า “เราเลือกทีมตามความคิด หรือเลือกตามความสำเร็จที่เราต้องการจริง ๆ”
เสียงของเขาอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในทันที แต่ก็เพียงพอจะจุดประกายให้สังคมฟุตบอลกลับมาคิดให้ถี่ถ้วนว่า ในเกมที่ต้องการชัยชนะที่สุด เสียงของ “ผู้รู้จริง” ควรถูกฟังมากกว่าคำสัญญาในอนาคต